จำนวนผ้ชม

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

7วิธีรับมือทะเลาะกัน


เชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยผ่านเหตุการณ์การทะเลาะกับคนรอบข้างมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือคนรัก คุณมีวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไรกันบ้างคะ วันนี้เรามีเทคนิคง่ายๆ มาฝากกันค่ะ
1. รับฟังและไม่ขัดจังหวะ เชื่อเถอะว่าไม่มีใครชอบที่จะถูกขัดจังหวะในขณะที่เขาพูดหรอก ลองเปลี่ยนบทบาทเป็นฝ่ายนั่งฟังเขาพูดตั้งแต่ต้นจนจบๆ ดูสิ นอกจากเขาจะรู้สึกที่ดีที่คุณรับฟังแล้วยังจะช่วยลดอารมณ์ร้อนในตัวเขาให้เย็นลงได้อีกด้วยนะ
2. ทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด นอกจากการรับฟังแล้วสิ่งที่คุณควรทำต่อมา คือ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่ามันจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเขารู้สึกว่าคุณเข้าใจเขา การทะเลาะก็ย่อมจะจบลงเร็วกว่าที่คุณคิดไว้แน่นอน
3.เก็บถ้อยคำอันร้ายกาจไว้ บ่อยครั้งในยามโมโหเรามักจะลืมตัวหลุดถ้อยคำที่ไม่ทันคิดออกไป แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับคุณเชียว เพราะเมื่อพูดไปแล้วมันก็เป็นการยากที่จะเรียกคำนั้นกลับคืนมา ทำใจเย็นๆ และเตือนสติตัวเองทุกครั้งก่อนที่จะปล่อยถ้อยคำรุนแรงออกไป เรื่องที่ว่าแย่ จะได้ไม่ดูแย่ไปกว่านี้ไงล่ะคะ
4. ลืมอดีตซะบ้าง อดีตก็คืออดีต ปล่อยมันทิ้งไปซะ เพราะหากว่าคุณยังจมอยู่กับเรื่องราวความผิดพลาดในครั้งก่อนๆ แล้วหยิบมาโต้แย้งในยามที่ทะเลาะกัน นอกจากจะทำให้คุณไม่สามารถแก้ปัญหาของคุณกับเขาได้แล้วยังจะทำให้การทะเลาะบานปลายขึ้นไปอีก ให้นึกซะว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด ให้โอกาสเขาได้ปรับปรุงตัว และทำลืมๆ ที่จะพูดถึงมันย่อมจะดีกว่านะ
5. เรียนรู้ที่จะประนีประนอม ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการประนีประนอมแทนการพยายามที่จะเอาชนะกันดู แล้วคุณจะพบว่าความขัดแย้งนั้นลดน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้ายังมีบางสิ่งที่ยังไง๊ยังไงคุณก็ไม่เห็นด้วย ก็ให้ลองใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คงไม่ทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีเท่าไรหรอก
6. รับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย การโต้เถียงกันส่วนใหญ่มักเป็นการโต้เถียงที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับความคิดของตน ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมีความคิดเห็นเหมือนกับคุณซะทุกเรื่องไป แม้ว่าคุณจะพยายามแล้วพยายามอีกที่จะอธิบายให้เขาคล้อยตามไปกับคุณ ในทางกลับกันถ้าคุณลองเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรับเอาความคิดเห็นของเขามาทำความเข้าใจ นอกจากคุณจะได้แสดงให้เขาเห็นถึงการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นของคุณแล้ว ยังจะทำให้ลดปัญหาที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งได้อีกต่างหาก
7. นึกถึงความสัมพันธ์อันดีเข้าไว้ บางครั้งอารมณ์ในยามทะเลาะกันมักทำให้คุณลืมเลือนความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายทิ้งไปชั่วขณะ โดยมุ่งแต่จะสรรหาถ้อยคำดุเด็ดเผ็ดร้อนมาโต้ตอบกันแทน ลองเปลี่ยนเป็นนำความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีระหว่างเขากับคุณมานึกถึงเป็นอันดับแรกในยามที่ทะเลาะกันดูสิคะ ถึงจะดูเหมือนคุณต้องเป็นฝ่ายยอมเขา แต่มันก็จะดูมีค่ากว่าการต้องมานั่งทำร้ายจิตใจของกันและกันนะ
อ่านแล้วก็ลองนำไปใช้กันดูนะคะ ตอนนี้คุณอาจจะมองว่าไม่จำเป็นหรอก ก็ยังไม่ได้ทะเลาะกับใครนี่นา แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์เราก็ต้องมีซักครั้งที่จะต้องขัดใจกับคนรอบตัว ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่ถ้าเรารู้วิธีที่จะรับมือกับเหตุการณ์นั้นแล้ว ต่อให้เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน คุณก็ย่อมจะผ่านไปได้อย่างสบายๆ เลยแหล่ะ

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

9วิธีทำงานกับคนที่ไม่ชอบหน้า


ก็เข้าใจว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์ได้เต็มร้อย แต่ก็มีไม่น้อยที่ต้อง ฝืนใจทนทำงานกับคนที่เราแสนจะ..เหม็นขี้หน้า แต่ถ้าจะปล่อยให้แต่ละวันเป็น วันแห่งความทรมานใจ ก็เป็นการบั่นทอนกำลังใจเกินไป ลองคิดใหม่ ทำใหม่ ให้ทำงานกันได้ราบรื่นดีกว่าไหม
เปิดใจให้กว้าง ลดความรู้สึกไม่ชอบในใจลงไปสักนิด..แค่นิดเดียวก็จะทำให้คุณฟังเขาพูดได้รื่นหูมากขึ้น
เน้นที่ตัวงานมากกว่าตัวคน เวลาสั่งงานให้เน้นที่งานมากกว่าระบุตัวคุณ เช่นแทนที่เขาจะบอกว่า "คุณต้องส่งงานนี้ที่ฉัน ภายในวันศุกร์" ก็เปลี่ยนเป็น "รายงานชิ้นนี้ต้องส่งนายวันศุกร์นี้ค่ะ"
คุยกันแบบตัวต่อตัวหรือทางโทรศัพท์ สำหรับเรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่คิดว่าจะมีปัญหาผิดใจกันได้ง่ายๆ
พูดกันให้สั้น กระชับ ตรงประเด็น ไม่อยากเถียงกันมากขึ้นอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน
ให้เขารู้ผลเสียที่จะตามมา ถ้าเขาทำไม่ดี เช่น บอกว่าถ้าเขาส่งงานไม่ทันเดทไลน์จะเป็นอย่างไร "ถ้าคุณปิดต้นฉบับไม่ทันศุกร์นี้ หนังสือก็จะออกช้านะ"
ถ้ามีประชุม เตรียมพร้อมทุกอย่างในส่วนของตัวเองอย่างดีที่สุด และก็ไม่ต้องตำหนิใครถ้าคนอื่นไม่พร้อม
ถ้ามีเรื่องต้องโต้แย้ง (มั่นใจว่า..มีเถียงแน่ๆ) ให้จดประเด็นที่ต้องพูดเป็นข้อๆ แล้วคุยให้อยู่ในประเด็นนั้นให้ได้
ไม่นินทาฝ่ายตรงข้ามลับหลัง ประเภทว่าปิดกันให้แซด! น่ะ...ถึงเจ้าตัวชัวร์
ใจเย็นๆ ถ้าทำงานกับคนที่ไม่ชอบ..นี่คือคาถาที่สำคัญที่สุด

คุณค่าในตัวเอง


คำนี้ยังไม่มีคำแปลสำหรับภาษาไทย หรืออาจจะมีแต่ผู้เขียนไม่ทราบ นักการศึกษา ผู้ปกครอง นักธุรกิจ ตลอดจนรัฐบาล กำลังมุ่งสร้าง ประชาชนให้มี self-esteemสูง ซึ่งหมายถึง บุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง มีความซื่อสัตย์ มีความภูมิใจในผลสำเร็จ ของงาน บุคคลซึ่งมีความคิดริเริ่ม และมีความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหา และรับผิดชอบปัญหา ที่จะเกิดตามมา เป็นคนที่คนอื่นรักและรักคนอื่น เป็นบุคคลที่สามารถควบคุมตัวเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงาน โดยสรุปแล้วคนที่มี self-esteem สูง จะหมายถึงคนที่มีความคิด สร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบสูง และซื่อสัตย์
ตรงกันข้ามกับคนที่มี self-esteem ต่ำหรือพฤติกรรมป้องกัน (defensive) คนกลุ่มนี้มักจะต้องการ พิสูจญ์ตัวเอง หรือวิจารณ์คนอื่น ใช้คนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางคนอาจจะหยิ่ง หรือดูถูกผู้อื่น มักจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มั่นใจว่าตัวเอง จะมีคุณค่า หรือความสามารถ หรือการยอมรับ ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่กล้าที่จะทำอะไร เนื่องจากกลัว ความล้มเหลว คนกลุ่มนี้มักจะวิจารณ์คนอื่น มากกว่าที่จะกระทำ ด้วยตัวเอง และยังพบอีกว่า คนกลุ่มนี้มักจะ ชอบความรุนแรง ติดสุรา ยาเสพติด มีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัย
คนที่มี self-esteem จะต้องมีความสมดุลของความต้องการผลสำเร็จ หรืออำนาจ และความรู้จักคุณค่า ความมีเกียรติ และความซื่อสัตย์ ซึ่งอาจจะหมายถึง จิตใต้สำนึก และพฤติกรรมนั่นเอง จิตใต้สำนึกของคนที่มี self-esteem จะต้องรู้จักบาป บุญคุณโทษ รู้สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ความสื่อสัตย์ ความมีเกียรติ ส่วนพฤติกรรมของ self-esteem มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหา เชื่อมั่นในความคิด และความสามารถ ของตัวเอง สามารถเลือกวิธีการตัดสินใจที่ถูกต้อง หากสูญเสียความสมดุลก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่น หากจิตใต้สำนึกไม่แข็งแรง หรือสมบูรณ์พอ ก็จะทำให้คนเกิด พฤติกรรมเชื่อมั่นตัวเอง มากเกินไป หยิ่งยโส ดูถูกคนอื่น หากแต่มีแต่จิตใต้สำนึกที่ดี แต่ไม่มีความมุ่งมั่น ที่จะ ประสบผลสำเร็จชีวิต ก็อาจจะไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นบุคคลที่ชอบพูดถึงแต่ตัวเอง อวดดี ดูถูกคนอื่น คนพาล ชอบเอาเปรียบคนอื่น คนที่กล่าวโทษคนอื่นไม่ถือว่า มี self-esteem
Self-esteem ประกอบด้วย ความตระหนักถึงคุณค่าตนเอง (Self-respect) และ ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy) จนกลายเป็น ภาพแห่งตน (Self-image)
Self-esteem
ความตระหนักถึงคุณค่าตนเอง (Self-respect)
ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy)
ความเชื่อว่า ตนเองมีคุณค่า มีความหมาย มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมผู้อื่น มีสิทธิ มีโอกาสที่จะสำเร็จ ได้รับสิ่งที่มุ่งหวัง มีสุขได้ เช่นเดียวกับผู้อื่น ชีวิตมีค่า สมควรได้รับการดูแลปกป้องให้ดี การได้รับการยอมรับจากคนอื่น
ความเชื่อว่า ตนเองสามารถ คิด เข้าใจ เรียนรู้ ตัดสินใจในการแก้ปัญหา การเผชิญหน้ากับความท้าทาย หรืออุปสรรคต่างๆ ในชีวิตได้ ไว้วางใจตนเอง ว่ามีความสามารถ มีพลัง มีประสิทธิภาพ และพึ่งพาตนเองได้
ภาพแห่งตน (Self-image)
ภาพที่เรามองตนเอง (Self-image)
ภาพแรก ในอุดมคติ ที่ฝันอยากจะเป็นภาพสอง เป็นภาพแห่งความจริง
ความแตกต่างระหว่างความฝันกับความจริง(Gap)
ใกล้เคียง ข้าเก่ง นับถือตัวเองสูงแตกต่าง ข้าแย่ ภาคภูมิใจต่ำ ไร้ค่า นับถือตนเองต่ำ
เรามองตนเองเป็นใครอย่างไร และคิดหรือเชื่อหรือมีทัศนคติเกี่ยวกับตนเองอย่างไร เราก็ทำเป็นประจำ บ่อยๆ จนเราเป็นภาพอย่างนั้น
ภาพของเราเป็นอย่างไร
ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ที่แสดงออกมาจุดแข็งจุดอ่อน(S&W) ความเป็นไปได้และข้อจำกัด(O&T) ของตนเองภาพบวก หรือภาพลบ กับตนเอง

การสร้างภาพแห่งตน

ปฏิกิริยาที่ผู้อื่นมีต่อเรา แล้วเราก็สร้าง ภาพตนเองขึ้นมาภาพของเราเป็นอย่างไรหากดี ...ภูมิใจ เชื่อถือตนเอง หากไม่ดี ...ดูตนเองไร้ค่า
ถูกชมว่าดีอยู่เรื่อยๆ --> ภาพแห่งตน ดี น่ารัก ฉลาด ถูกด่าบ่อยๆ-->ภาพแห่งตน ไม่ดี ไม่น่ารัก โง่ ไม่เข้าท่าภาพจะถูกสะสมทุกๆวัน--> สะสมข้อมูลตนเองและโลกรอบตัวลงในดวงจิตของตนเอง-->กลายเป็นทัศนคติและความเชื่อตนเอง-->
คนที่มี self-esteem มักจะประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
1. มองโลกในแง่ดีเสมอ มองวิกฤตให้เป็นโอกาส เมื่อมีมืดต้องมีสว่าง มีร้ายต้องมีดี ขาวคู่กับดำ

2. ประเมินตัวเราให้มีคุณค่าอยู่เสมอ

3. เชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง

4. มองว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเราสามารถเปลี่ยนแปลงตามที่เราต้องการ
ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าตัวเองไม่มีความมั่นใจจะไม่มีความหวัง ไม่มีพลังในการต่อสู้ในที่สุดจะเป็นคนที่ซึมเศร้า

ข้อคิดในการเลือกคู่สำหรับผู้หญิง


ในยุคสมัยหนึ่งผู้หญิงจะกลัวตัวเลข “30” มาก คือถ้าอายุ 30 ปียังไม่มีคู่ครอง ก็จะเครียดกับคำพูดของคนรอบข้างจนไม่เป็นอันทำการงานทีเดียวผู้หญิงไม่อาจผ่านพ้นวิถีชีวิตเช่นนี้ไปได้ง่ายนัก ในเมื่อความยึดถือการวางสมมติไว้ในสังคม มักจะ “สนับสนุนส่งเสริม” ให้แต่งงานมากกว่าให้อยู่เป็นโสด ซึ่งก็สอดคล้องกับค่านิยม จึงทำให้ผู้หญิงที่แม้คิดจะอยู่เป็น โสด ชีวิตโสดก็มีความสุขดีอยู่แล้วแต่ก็ต้องลังเล สุดท้ายก็ต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับค่านิยมนี้หลังแต่งงานมีความสุขจริงหรือ มีการสำรวจคู่แต่งงานในกรุงเทพมหานคร พบว่าทุก 10 คู่ที่จดทะเบียนสมรส จะกลับมาจดทะเบียนหย่า 3-4 คู่ เพราะชีวิตคู่ถึงจุดระเบิด และนักจิตวิทยาพบว่ามากกว่า 30% ของคู่แต่งงานจะทนอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความสุขแต่ไม่ยอมหย่าร้าง ดังนั้นสรุปได้ว่า จากคู่แต่งงาน 10 คู่จะมีเพียง 3-4 คู่ เท่านั้นที่ชีวิตสมรสสมบูรณ์ มีความสุขมากกว่าการอยู่เป็นโสด แสดงว่าโอกาสที่จะล้มเหลวมากกว่าครึ่ง แล้วจะป้องกันได้อย่างไรมีหนังสือมากมายที่เขียนเกี่ยวกับการเลือกคู่ชีวิต อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว บางเล่มอ่านแล้วมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ บางเล่มอ่านแล้วปฏิบัติจริงไม่ได้ บางเล่มเป็นของต่างประเทศที่แปลมาแล้วไม่เข้ากับสังคมไทย อย่างไรก็ตามผู้หญิงควรจะใส่ใจเรื่องการเลือกคู่ไว้บ้าง ผู้ชายแต่งงานกี่ครั้งๆก็ไม่เสียหายอะไร แต่ผู้หญิงจะเจ็บปวดและเจ็บลึกมากกว่าและโอกาสเริ่มต้นใหม่จะน้อยลงเรื่อย ๆ ผมพยายามรวบรวมเรื่องการเลือกคู่ที่ได้อ่านมาและนี่คือเหตุผล 8 ข้อ ที่สรุปมาให้อ่านสำหรับผู้หญิงที่คิดจะแต่งงาน

1) อย่าแต่งงานเพราะกลัวว่าจะไม่ได้แต่ง คู่ที่หามาได้จากการไม่พิจารณาให้รอบคอบนั้น จะมีผลร้ายกับชีวิตทุกข์ทรมานไปจนตาย อย่าไปสนใจกับคนรอบข้าง มีงานวิจัยมากมายที่แสดงว่า การอยู่เป็นโสดมีความสุขมากกว่า

2) อย่าแต่งงานเพราะคุณอยากจะออกจากบ้านจากครอบครัวเดิมของคุณ เพราะแม้ที่บ้านเราจะมีปัญหามากมาย แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าครอบครัวอื่นไม่มีปัญหา การที่แต่งงานแล้วไปอยู่กับครอบครัวอื่นซึ่งคุณเป็นคนนอกจะมีปัญหาที่คุณคาดไม่ถึงมากมาย

3) อย่าแต่งงานเมื่อคุณกำลังอกหักหรือเมื่อต้องการประชดแฟนเก่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หมอกควันเข้าปกคลุมชีวิต รอให้ทุกอย่างแจ่มใสเสียก่อนคุณจะเห็นภาพชัดขึ้น4) อย่าแต่งงานเพราะคุณสงสารเขา ผู้ชายที่น่าสงสารมักมีจุดอ่อน มีปมด้อยและพฤติกรรมเปลี่ยนไปมากมายภายหลังการแต่งงาน ความสงสารไม่จีรังยั่งยืนเท่ากับความรัก สักวันหนึ่งคุณอาจคิดกลับ

5) อย่าแต่งงานเพราะหลงใหลในรูป สมบัติของเขาเพียงอย่างเดียว รูปร่าง หน้าตา ทรัพย์สิน เป็นเรื่องภายนอก เป็นเปลือกที่คุณอาจไม่รู้ว่ามีเนื้อแท้ที่เน่าอยู่ภายใน6) อย่าแต่งงานเพราะอยากหนีตนเอง เพราะการแต่งงานไม่ได้ช่วยให้คุณหนีตัวเองได้ แม้ว่าจะแต่งกี่ครั้งก็ตาม

7) อย่าแต่งงานเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยเขาได้ ในทางจิตวิทยาแล้วนิสัยส่วนลึกของคนเรา เปลี่ยนไม่ได้จะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ดังนั้นการตัดสินใจแต่งงานโดยคิดว่าเขาคงเปลี่ยนไปหลังแต่งเป็นการคิดที่ผิดมหันต์

8) อย่าแต่งงานเพราะความเหงา ความเหงาเป็นเครื่องมือของกรรมอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่รู้วิธีจัดการกับมัน ชีวิตจะถูกกฎแห่งกรรมชักจูงไป บางคนไปติดยาเสพติด บางคนไปติดการพนัน ติดสุรา บางคนใช้ชีวิตเสเพลกับเพื่อนฝูงและแน่นอนการตัดสินใจแต่งงาน เพราะกลัวเหงา เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างไรก็ตาม ถ้าปฏิบัติตามกฎ 8 ข้อนี้อย่างเคร่งครัด คุณอาจจะกลายเป็นคนขี้ระแวงไปเรื่องความรักบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลถ้าคุณเจอใครสักคนที่คุณคิดว่าใช่เลย เป็นความรักที่แท้จริง ไม่ใช่ความหลง ไม่ใช่ความโรแมนติก และที่แน่นอนที่สุดเขาต้องรักคุณอย่างแท้จริงด้วยถ้าเป็นเช่นนั้นตัดสินใจแต่งได้เลยเพราะ......ความรักสามารถเอาชนะทุกสรรพสิ่ง.....ผู้หญิงมักเป็นกังวล เรื่องอนาคต..จนกระทั่งเธอมีสามี ผู้ชายไม่เคยกังวลถึงอนาคตข้างหน้า...จน กระทั่งเขามี ภรรยา

ทำอย่างไรเมื่อมีปัญหากับเพื่อนรวมงาน


หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่กำลังมีปัญหา กับผู้ร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นการขัดแย้งกับเจ้านาย ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน หรือมีปัญหากับลูกน้อง ซึ่งย่อมจะทำให้ คุณรู้สึกหงุดหงิด รำคาญใจ เบื่อไม่อยากทำงาน เราก็มีคำแนะนำ ในการปรับตัวจากกรมสุขภาพจิตมาฝากกัน
ถ้าคุณรู้สึกเบื่อความวุ่นวาย ในที่ทำงาน เบื่อที่จะต้องประสานงาน กับคนหลาย ๆ คน คุณอาจเปลี่ยนงาน ไปทำงาน ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนมากนัก เช่น ทำงานด้านเอกสาร ทำงานด้านศึกษาค้นคว้า ทำงานกับคอมพิวเตอร์ หรือทำงานในห้องทดลองแทน เป็นต้น
แต่ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ ก็ควรปรับเปลี่ยนตัวเอง โดยให้ความสนใจคนรอบข้าง ให้น้อยลงกว่าเดิม ใครจะนินทาใคร คุณก็เดินหนีไม่ร่วมฟังด้วย ใครจะนินทาคุณ คุณก็ไม่ใส่ใจ ถือเสียว่า เป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็เคยถูกนินทาด้วยกันทั้งนั้น และการมีคนนินทา ยังแสดงว่า มีคนให้ความสนใจคุณด้วย คุณควรมุ่งความสนใจ ไปที่งานให้มากขึ้น ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อให้เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง ยอมรับในความสามารถของคุณ
ถ้าคุณมีปัญหากับใคร ควรใช้หลักการ ประนีประนอม พูดจากันด้วยเหตุผล เพื่อปรับความเข้าใจกัน และอาจหาคนกลาง มาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา ด้วยก็ได้
ถ้าคุณรู้สึกว่า ถูกเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ โดยการขอให้คุณช่วยงานเขาบ่อย ๆ ก็ควรคิดหา คำปฏิเสธ ที่มีเหตุผลเอาไว้ล่วงหน้า ถ้าเขามาขอความร่วมมือ จากคุณอีก คุณจะได้ปฏิเสธเขาไป อย่างนุ่มนวล ไม่เสียสัมพันธภาพต่อกัน
ถ้าคุณไม่มีเพื่อนสนิท ในที่ทำงานเลย อยากให้คุณ หาเพื่อนต่างที่ทำงาน เอาไว้สักคน สองคน เพื่อปรับทุกข์เรื่องงานกัน หรืออาจจะปรึกษา คนในครอบครัวก็ได้ค่ะ จะช่วยให้คุณรู้สึกว่า ไม่โดดเดี่ยว และไม่ได้ถูกทิ้ง ให้สู้ปัญหาตามลำพัง

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรมีเพื่อนรวมงานชอบนิทา


ที่บริษํทไม่มีคนอยู่ได้เลยตอนนี้เหลื่อแผนกละคน เพราะพี่คนนึีงซึ่งเค้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากในสายตาเรานะคะแต่เค้ามักจะด่าคนอื่น คือใช้คำพูดวางอำนาจ น้ำเสียง อะไรแบบนี้น่ะค่ะ อย่างเช่น น้องไปเก็บเงินเค้าก็จะบอกน้องคนนั้นว่า "ทำไมได้แค่นี้" คือช่วงนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีเพราะพนักงานคนอื่นออกไปหมดเพราะทนแกไม่ไหว แต่น้องเค้าก็อดทนอยู่ไปวันๆ สงสารธุรการทำงานหัวฟูอยู่คนเดียวไอ้เราก็มีเหมือนกัน เรื่องจิ๊บๆ เพราะว่าเจอมาเยอะแล้ว แต่ก็ไม่ชอบนะคือสมมุติว่าอยู่ด้วยกันมาทั้งวี่ทั้งวันนี่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่พอมีแขก หรือลูกค้ามา เจ้านายมา อะไรอย่างนี้นะแกจะรีบยกเอาเรื่องอะไรสักอย่างนึง มาตำหนิต่อหน้าคนอื่นๆ คือแอ๊บเป็นหัวหน้าอะค่ะเราควรทำอย่างไรดีเพราะเจอกันทุกวันนะ ก็เคารพแกเหมือนพี่สาว แต่แบบนี้สักวันเขาคงออกกันหมด เพราะไม่มีใครหรอกชอยให้คนอื่นมาด่าหรือมาประจานหักหน้าต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วเราจะทำยังไงดีเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้บรรเทาลง
ต่อท้าย #1 24 เม.ย. 2553, 0:03:56
ใครคือคุณ ญหญิงเอ่ย คุณ katek แปลงร่างมาก๋า
ต่อท้าย #2 24 เม.ย. 2553, 0:07:59
มันก็ไม่ใช่ว่าเอาแต่ใจหรอกค่ะเพียงแต่ว่าเค้าก็ทำเกินไป ตามมารยาทแล้วการจะวิจารณ์ใครสักคนไม่ควรใส่อารมณ์เพราะมันจะกลายเป็นด่า ถูกมั้ยคะ น้องๆ เขาจะทนทำไม งานก็หนัก แดดก็ร้อนต้องออกตลาดทุกวันไปมอเตอร์ไซค์นิ กลับมาเจออย่างงี้เค้าก็ไปหางานอื่น มีให้เลือกมากมายนะคะ อันนี้เราก็ค้องมองหลายๆแง่อีกอย่าง เรานี่แหละเป็นคนรับพี่เค้าเข้ามาทำงานเมื่อหลายปีก่อนและเราไปเลี้ยงลูกอยู่พัทยา และพี่เค้าก็รับเรากลับเข้ามาทำงานตำแหน่งเดิม เรียกว่าพึ่งพาอาศัยกันไปแต่คนเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว พูดจาอะไรในที่ทำงานควรระงับโทสะหรือการแสดงออก เพื่อกันและกันแต่เราคงไม่กล้าไปคอมเม้นท์พี่เค้าจริงๆ กลัวใจ เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะไปพูดอะไรกับเจ้านายบ้าง...ถ้าไม่ชอบหน้าเราขึ้นมาน่ะ
ต่อท้าย #3 24 เม.ย. 2553, 0:11:02
โหรูป เจ้าค่ะแก้ผ้าซะ ฮาๆคิดถึงลูกจัง ..งเค้าสวยมั้ย อืมก็หน้าตาพอไปได้นะคะ ตัวใหญ่กว่าหนูประมาณสามเท่าเจ้าค่ะ จาเอาเบอร์ปะ จะขอให้ๆๆๆ ฮ่าๆ
ต่อท้าย #4 24 เม.ย. 2553, 0:15:28
คุณ winyu คิดดูนะคะ วันสงกรานต์หนูไม่ได้ไปเที่ยวไหน มาจัดแจงปัดกวาด เช็ดถูออฟฟิศ โต๊ะเขาสกปรกมาเป็นชาติหนูไปกวาดถูเอาโต๊ะไปเสริมให้ เนื่องจากไม่มีสเปซเหลือเลยสักติ๊ดนึง หนูก็เห็ฯว่างานเขายุ่ง ก็อยากจะช่วยแต่บนโต๊ะเราไม่จัดเพราะกลัวเขาหาข้าวของเขาไม่เจอปรากฏว่าทั้งออฟฟิศ เพอะอยู่โต๊ะเดียวเจ้านายเดินเข้าออฟฟิศ"นี่อะไรมากมายเต็มไปหมด" (โต๊ะคนอื่นหนูจัดการสะอาดเรียบร้อยหมด เหลือโต๊ะเขาที่ข้าวของกองเป็นภูเขาเหมือนเดิม)เค้าบอกเจ้านาย (ต่อหน้าหนูเลย) "อึ้งเค้าย้ายโต๊ะค่ะ" หา? เอ่อ ก็งงๆนะ น้องอีกคนได้แต่กลั้นหัวเราะ บอก เป็นไงพี่อึ้งไปเลยละสิท่า
ต่อท้าย #5 24 เม.ย. 2553, 0:18:17
เห็นรูปแล้วคิดถุงลูกจัง TT

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ในหลวงเรา

วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ เพราะเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี...ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสสำคัญยิ่งนี้ ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ ได้ทำการรวบรวม ๖๐ เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับในหลวงของเรา นำมาถ่ายทอดสู่สาธารณชน โดยครอบคลุมทั่วทุกด้าน ตั้งแต่พระราชประวัติ, พระราชกรณียกิจสำคัญๆ รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยส่วนพระองค์
๑) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเฉลิมพระ ปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
๒) เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ รัตนโกสินทร์ศก ๑๔๖ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่
๓) ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สาม ทรงมีพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๑ พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทุกพระองค์ประสูติในต่างประเทศ
๔) เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกพร้อมสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อพระชนม์ได้ ๑ ชันษา ในเดือนธันวาคม ๒๔๗๑
๕) ทรงสูญเสียทูลกระหม่อมพ่อตั้งแต่ พระชนม์ไม่ถึง ๒ พรรษา โดยสมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคต ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๗๒
๖) ทรงศึกษาเล่าเรียนในต่างประเทศตลอดพระชนม์ชีพ เว้นแต่ในช่วงพระชนมพรรษา ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้าศึกษาในโรงเรียนมาแตร์เดอี ๑ ปี ก่อนเสด็จไปประทับที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
๗) ทรงจบการศึกษาชั้นประถมจากโรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซานน์, ชั้นมัธยมจากโรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองด์ เมืองแชลลี ซูร โลซานน์ ต่อมาในปี ๒๔๘๑ ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค กังโตนาล เมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากนั้น จึงทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเลือกแผนกวิทยาศาสตร์

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

100 ข้อคิดดีๆ

100 ข้อคิดดีๆ สั้นๆ เตือนใจคุณ บางครั้งการใช้ชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เราจำเป็นต้องมีหลักยึดเตือนใจ เพื่อให้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข และสง่างาม ไม่เว้นเเต่จะเป็นการปฏิบัติต่อคนที่เราคิดว่าเป็นเพื่อน เพื่อเป็นการรักษามิตรภาพให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นการคบกันด้วยความจริงใจ ช่วยเหลือกันในยามมีความทุกข์ ในยามสุขก็แบ่งปันให้กันด้วยความจริงใจ หากใครบอกว่า โอ้โหตั้ง 100 ข้อเชียวหรอ แต่ขอบอกว่าลองศึกษาดูก่อน มันไม่มากไม่มายและยากเย็นเกินไปที่เราจะปฏิบัติเลยจริงๆ
1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย

7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14.ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ใหม่เคยทำอะไร

28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อนความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ 31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทร.ไป

40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุณมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี

4
2.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุณทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุณก็เช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุณถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุณเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆ มีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุณก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก็หยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุณ
75.คุณมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอก
76.ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่า คุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุณยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รุ้อะไรไว้บ้างก็ดี
92.สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก็ดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้า เล่นไพ่ เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก็คือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา
ปล. แค่อ่านมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ถ้าคุณไม่นำเอาไปปฏิบัติจริง